ถ้าจะเรียกให้ถูก บทความนี้ต้องเป็นการรวบรวมภาพ Behind of Behind the Scene อีกทีนึง เพราะนี่คือการรวม 21 ภาพเบื้องหลังกว่าจะมาเป็นงาน Creative Talk ครั้งที่ 6 นี้..
ว่าแล้วก็เริ่มกันเลย
เราเริ่มประชุมและระดมความคิดกันประมาณต้นเดือนพฤษภาคม หรือแค่ 1 เดือนครึ่งก่อนหน้าวันจัดงาน ซึ่งนั่นหมายถึงการคิดชื่อแขกรับเชิญ การเชิญแขกรับเชิญ การหาสปอนเซอร์ และการวางแผนการ PR ซึ่งต้องไม่ลืมว่า.. งานหลักที่ทำอยู่ทุกวันก็มี งานนี้ก็ต้องลุยให้เต็มที่เช่นกัน
คุณมาร์วิน Creative ของรายการ “ปริศนาฟ้าแลบ” คือแขกคนแรกที่เราไปพบ ด้วยการเชิญโดยทีม GM Group สถานที่นัดคือ Siam Paragon วันนั้นเราไม่รู้จักคุณมาร์วินเลย แต่ครั้งแรกที่คุยกันเราก็สัมผัสได้เลยว่า คุณมาร์วินเป็นคนคุยง่าย ตลก และเป็นกันเองมาก ๆ
คนถัดมาที่เราได้มีโอกาสพูดคุยคือ “หมอแล็บแพนด้า” เราไม่รู้จักหมอแล็บเป็นการส่วนตัว และไม่มี connection จากใครเลย แต่หมอแล็บก็เปิดโอกาสให้เราเข้าไปเล่า ไปพูดคุยให้ฟังว่า Creative Talk นั้นคืออะไร ทำเพื่ออะไร และทำแล้วได้อะไร ซึ่งคุณหมอก็ยินดีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
ในวันงาน หมอแล็บฯ กระซิบบอกว่า “ทีแรกกะจะไม่มาแล้ว เพราะไม่รู้ว่างานนี้คืองานอะไร ทำแล้วมีจุดประสงค์อะไร .. แต่พอได้มาเห็นก็เข้าใจชัดเลย”
ถัดมาคือคุณสุรเสกข์ จาก Toolmorrow เจ้าของคลิป “เจี้ยวเล็ก” คุณเสกเป็นคนที่เรารู้จักกันมาก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นการนัดคุยกันจึงไม่ยากอะไร คุยกันง่าย ๆ สบาย ๆ เหมือนเป็นการคุยเรื่องคำถามกันล่วงหน้าว่าเราจะถามอะไรบ้างและคุณเสกจะต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง
และพี่โก้ จาก Zurreal Studio เบื้องหลังหนังไทยหลายเรื่อง คือคนสุดท้ายที่เราเข้าไปพูดคุยในบ่ายวันที่อากาศร้อนอบอ้าว แต่พี่โก้ก็ต้อนรับเราเป็นอย่างดี พี่โก้นำภาพเบื้องหลังมาให้ดูพร้อมอธิบายอย่างละเอียด และนั่นทำให้เราได้คำถามสนุก ๆ มาเตรียมไว้สำหรับวันงานได้มากมายเลย
แล้วตารางคิวงานก็ออก.. เราเขียนลงกระดานว่าในแต่ละช่วงจะทำอะไรอย่างไร เวลาใด รวมถึงคิดมุกที่จะเล่นระหว่างดำเนินรายการด้วย
เราคิดว่าอยากจะลองทาใต้ตาให้ดำปื้ดเพื่อต้อนรับหมอแล็บแพนด้า… แต่การที่เราจะรู้ว่าอะไรจะ work หรือไม่ work .. วิธีเดียวที่ทำได้ก็คือ.. ลองทำตาดำกันเองก่อนเลยในออฟฟิส
เมื่อได้คิวการทำงานทั้งหมดแล้ว การพูดบนเวที โต้ตอบกลับไปมานั้นก็ไม่ใช่อะไรที่จะด้นสด.. เพราะเราไม่ใช่ professional ขนาดนั้น.. เราต้องซ้อมสคริปต์กัน โดยมีน้องในทีมอีกสองคนเป็นคนดูคิวและบทพูดว่าอะไรควรพูดไม่ควรพูด อะไรควรตัดออกหรือนำเข้า
ไม่ใช่แค่พิธีกรหลักที่ต้องซ้อม.. แต่พิธีกรเล่นเกมระหว่างพักเบรคก็ต้องซ้อมคิวเช่นกัน จะได้ไม่ไปหน้าแตกในงาน ด้วยความเป็นมือสมัครเล่นของพวกเรา ดังนั้นต้องซ้อมคิวกันให้ชัดเจนกว่าคนอื่น
Backdrop สำหรับถ่ายรูปถูกออกแบบโดยทีมกราฟฟิกภายใน เราเริ่มต้นทำงานจากใน computer หลังจากนั้นทางบริษัททำ backdrop ก็จัดการนำดีไซน์ที่ได้ไปขึ้นเป็น model ให้เห็นภาพ
วิดีโอกราฟฟิคที่เป็น trailer ฉายตอนต้นก่อนเข้างานความยาว 2 นาทีนั้นก็ไม่ได้ได้มาง่าย ๆ เราต้องทำ storyboard ออกมา วาดภาพเพื่อให้น้อง “programmer” ทำงานต่อใน After Effect!! (ที่ต้องเน้นว่า programmer เพราะงานทำ motion graphic แบบนี้ไม่ใช่งานถนัดของน้องเค้าจริง ๆ แต่ความพยายามนี่ให้เต็ม 100) ซึ่งการทำ trailer ตัวนี้ใช้เวลาเลือกเพลง 2 วัน วาด Storyboard ครึ่งวัน และทำงานจริง 2 คืน!!
ทุกงานที่ทำต้องใช้เวลาว่างจากการทำงานหลัก ซึ่ง trailer ตัวนี้ใช้เวลาอยู่ดึก 2 คืนเพื่อนั่งทำ trailer 2 นาที
ก่อนวันงานหนึ่งวัน เราต้องไปซ้อมแสง ไฟ รวมถึงจัดเก้าอี้
แน่นอนว่า.. รวมถึงการติดตั๋วภาพยนตร์ใต้เก้าอี้ด้วย.. ซึ่งงานดึกก่อนหน้างานจริงหนึ่งวันนี้ก็ไม่ได้มากันแค่สองสามคน..
ถึงวันงาน.. เราเริ่มจัดคิว ซ้อม และ run through กันอีกรอบ คราวนี้จัดเต็มตั้งแต่การยกเก้าอี้ การปรับไฟ แสง สี และเสียง sound effect
ซึ่งเช้าวันที่ 11 ทุกอย่างก็ยังไม่ perfect มาก ยังคงมีหลายส่วนขาด ๆ เกิน ๆ และแก้ไขกันหน้างาน
ทำตาดำบนเวที ด้านล่างจะเห็นมั้ย? ต้องลอง!!! แต่คราวนี้จะลองเองไม่ได้เพราะงานจะเริ่มแล้ว ดังนั้น.. “ต้องจับเพื่อนมาลอง”
แน่นอนว่า .. จะให้แขกของเรามาปีนบันไดไฟสูงขนาดนี้ เราต้องลองก่อน!! ลองทั้งบันได ลองเสียง sound effect เสียงฟ้าผ่า เสียง background และกราฟฟิคคะแนนด้านหลัง ทั้งหมดนี้ทดลองในเช้าวันงานนั่นล่ะ! โดยคนที่มาลองปีนบันไดก็คือเพื่อน ๆ อีกเช่นเคย!!!
งานจะเริ่ม แต่บทยังคงแก้กันอย่างต่อเนื่อง ใครจะถาม ใครจะชง ใครจะปิดแต่ละช่วง เวลาไม่มีแล้ว เพราะช่วงนี้งานที่ออฟฟิสก็เยอะ งั้นแก้สคริปต์และจัดคิวกันหน้างานนี่แหละ!!
ฝ่าย Sound และกราฟฟิค คนคุม slide ที่นั่งอยู่ชั้นสองคือคนที่ไม่มีใครเคยเห็นตัว จากปกติใช้คนแค่สองคน แต่ครั้งนี้ใช้ 3 เพราะมีเรื่องแสงไฟ และ sound effectเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
สุดท้ายแล้ว กว่าจะจบงานได้ หนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมาต้องบอกว่าไม่ง่ายเลย และไม่เคยง่ายอยู่แล้วสำหรับการจัดงานที่ฟรีและดี.. ต้องขอบคุณทีมงาน เพื่อน ๆ ที่มาช่วยเหลือทุกคน ทีมงาน rgb72 สปอนเซอร์ทุกเจ้า ที่ปรึกษาทุกท่าน และแน่นอน คนดูทุกคนครับ
Creative Talk ครั้งที่ 6 จบลงได้อย่างสวยงามในวันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน 2559 และหวังว่าเราจะได้ทำงานสนุกอย่างนี้อีก และได้ทำให้ทุกคนมีรอยยิ้มเช่นนี้อีก ใน Creative Talk ครั้งที่ 7
แล้วคอยติดตามนะครับ