ผมบังเอิญได้ไปผ่านวิดีโอสัมภาษณ์ตัวหนึ่งเมื่อนานมาแล้วของ Simon Sinek (ผม mention ชื่อนักเขียนคนนี้บ่อยมาก เพราะชอบความคิดและความเคลียร์ในการพูดและเขียนของเขาจริง
ๆ) แล้วประโยคนี้ก็โผล่มาจากบทสัมภาษณ์นั้น..
If you don’t understand people, you don’t understand business ถ้าคุณไม่เข้าใจมนุษย์คุณก็ไม่เข้าใจการทำธุรกิจ
ผมไม่แน่ใจว่าเขาเป็นเจ้าของคำพูดนี้หรือไม่ รู้แต่ว่าหลังจากฟังแล้ว ผมก็บอกกับตัวเองว่า “เออมันใช่”
ไซมอนบอกว่า ในเมื่อทีมงานของเราก็เป็นมนุษย์ ลูกค้าของเราก็เป็นมนุษย์ แล้วทำไมเราถึงลืมที่จะเข้าใจมนุษย์ไปได้ซะล่ะ
ปัญหาอย่างหนึ่งของการทำธุรกิจในยุคนี้คือการที่เราพยายามหา “สูตร” ต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงมนุษย์ หลักจิตวิทยาร้อยแปด เพื่อทำให้ธุรกิจเติบโต แข็งแรง
และยั่งยืน
แต่ตลอดเวลาที่เราพยายามศึกษาหาหลักการใหม่ ๆ สูตรใหม่ ๆ สิ่งเดียวที่เราลืมทำคือการพยายามเข้าใจมนุษย์ด้วยกันเอง
ดังนั้นบทความนี้ขอยกตัวอย่างซัก 4 เหตุผลที่ตอบว่า ทำไมคุณถึงต้องเข้าใจมนุษย์เพื่อความสำเร็จในการทำธุรกิจ
1. สำหรับลูกค้าสินค้าบางตัวอาจมีค่าน้อยกว่าบริการ
ผมชอบไปตัดผมอยู่ร้านหนึ่ง และผมก็เข้าไปใช้บริการมานานไม่ต่ำกว่า 2ปี แน่นอนว่าครั้งแรก ผมเข้าไปเพราะความสวย สะอาด กลิ่นหอมของร้านที่โชยออกมาถึงหน้าร้าน และแบรนด์ของร้านที่มาจากต่างประเทศ แต่หลังจากที่ผมได้ตัดผมกับช่างที่จำทรงผมที่ผมชอบได้ จำเรื่องที่ผมเล่าครั้งก่อนได้ หรือแม้แต่บางครั้งเขาก็รู้ว่าเวลานี้ไม่ควรรบกวน ไม่ควรชวนคุยเพราะหน้าตาที่เหน็ดเหนื่อยมาจากงานตลอดทั้งวัน ผมก็ไม่เปลี่ยนร้านอีกเลย แม้ว่าราคาตัดของร้านนี้จะไม่ถูกนักก็ตาม
เท่าที่เล่ามาผมไม่ได้พูดถึงความสวยของร้าน ความสะอาด และกลิ่นหอมอีกเลย เพราะสิ่งเหล่านั้นแม้จะพาให้ผมเข้าร้าน แต่ไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้ผมยังคงใช้บริการต่ออีก 2ปี
ผมเชื่อว่าคุณเองก็น่าจะพบกับสถานการณ์เช่นนี้ บางร้านสินค้าหรือบริการไม่ได้ดีเลิศ แต่ก็ไม่ได้แย่นัก หรืออาจจะไม่ได้แตกต่างจากร้านข้าง ๆ แต่คุณก็ยังคงซื้อของร้านนี้เพราะปฏิสัมพันธ์ที่คุณมีกับคนขาย
2. การต่อยอดธุรกิจคือความเข้าใจ
ทำไมเฟสบุคถึงต้องอัพเดทแอพของตัวเองทุก ๆ สัปดาห์ และถ้าเรื่องนี้ทำให้คุณตกใจ ผมก็จะบอกอีกว่าการอัพเดทแอพของเฟสบุคนั้นไม่ได้ทำเหมือนกันกับทุกคน หากคุณสังเกตดู บางครั้งเพื่อนของคุณจะได้ใช้เฟสบุคที่มีหน้าตาแตกต่างจากคุณเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะอะไร?
เพราะเขาต้องการเข้าใจลูกค้าเช่นคุณ
ผมได้มีโอกาสเข้าไปร่วมทำงานโปรเจคหนึ่งที่ต้องทำโฆษณามากเป็นร้อยชิ้น โดยใช้หลักการเช่นเดียวกันกับเฟสบุค นั่นคือการปรับทีละเล็กละน้อยเพื่อเข้าใจและเข้าถึงลูกค้าให้มากที่สุด ทั้งนี้การเข้าถึงลูกค้าไม่ได้มีจุดประสงค์แค่ “การขาย” เท่านั้น แต่ยังเป็นความสามารถในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้ืน ให้เหมาะกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น
ความจริงเทคนิคนี้ถูกใช้อย่างแพร่หลายกับแบรนด์ใหญ่ ๆ อย่าง Netflix, Amazon, Apple และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังนั้นผมจะไม่แปลกใจเลยว่าวันหนึ่งเราจะมีรถยนต์ไร้คนขับที่ไม่เพียงแต่จะขับให้ถูกทางแล้ว ยังจะมีโหมดปรับให้ขับนิ่มหลับได้ หรือเร่งด่วนเพราะเลทการประชุม หรือรถยนต์อาจจะปรับให้เองโดยอัตโนมัติเพราะได้รับข้อมูลที่เชื่อมมาจากระบบปฏิทินนัดหมาย
3. ผู้นำที่น่านับถือเกิดจากความเข้าใจมนุษย์ในองค์กร
คนในยุคนี้ชอบคนเก่ง คนมีความสามารถ คนฉลาด คนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ทำงานเก่ง มีความเป็นมนุษย์ รับฟังความคิดเห็น และอื่น ๆ อีกมากมาย
แต่น่าเสียดายที่ผู้นำหลายคนไม่รู้เรื่องเหล่านี้ หลายคนยังคงพูดมาก อวดความรู้เก่า ไม่รับฟังความเห็นใหม่ ๆ และใช้อำนาจที่มีบังคับให้ทีมงานทำตามโดยปราศจากความเชื่อ
ความสามารถในการเข้าใจทีมงาน ซึ่งก็คือมนุษย์จึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการเป็นผู้นำ เพราะคุณอาจจะปลุกให้พวกเขาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ โดยไม่ต้องบังคับ ถ้าคุณฟังเขา เขาก็จะฟังคุณ ถ้าคุณนำเขาด้วยเหตุและผล เขาก็จะทำงานด้วยเหตุและผล ถ้าคุณทำงานด้วยสมอง เขาก็จะทำงานด้วยสมองเช่นกัน
อยากให้คนทำงานให้คุณเต็มที่ คุณต้องเริ่มที่การให้พวกเขาอย่างเต็มที่เสียก่อน
แล้วทั้งหมดนี้จะไปไหน ก็กลับไปหาลูกค้าของคุณ ดังที่มีคนเคยพูดไว้ว่า
“วิธีการดูแลลูกค้าให้ดี คือการดูแลพนักงานของคุณให้ดีนั่นเอง”
4. การเข้าใจตัวเองเริ่มต้นจากการเข้าใจผู้อื่น
ไม่มีอะไรดีกว่าการเข้าใจตัวเองอีกแล้ว แต่เราจะมองเห็นตัวเองได้อย่างไรถ้าเราไม่มีกระจก และกระจกที่ดีที่สุดก็คือผู้คนที่อยู่รอบตัวเรานั่นล่ะ
แต่กระจกก็มีหลายแบบ เคยเข้า “บ้านมหาสนุก” ไหมครับ บ้านที่ข้างในมีกระจกโค้งงอ บูดเบี้ยว ทำให้สะท้อนภาพของคุณออกมาเตี้ยบ้าง สูงบ้าง ตลกดี
ใช่.. ผมกำลังจะบอกว่า ไม่ใช่มนุษย์ที่รายล้อมคุณทุกคนจะเป็นกระจกที่ดี สิ่งสำคัญคือความสามารถในการมองเห็นว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร กระจกบานไหนเราควรเชื่อ กระจกบานไหนเราไม่ควร
ผมเชื่อว่าเหตุผลที่จะทำให้มนุษย์เราเป็นกระจกที่แตกต่างกัน มีสาเหตุมาจาก “ผลประโยชน์” ที่ไม่เท่ากัน ผลประโยชน์ในที่นี้อาจจะเป็น เงิน
ธุรกิจ หรือแม้แต่ความรัก
บางคนอยากให้คุณซื้อของของเขา ก็อวยกันเข้าไป ผมคงไม่ต้องอธิบายกรณีนี้มากเพราะคิดว่าคุณคงเจอเหตุการณ์แบบนี้มาไม่น้อยแล้ว
บางคนอาจจะไม่กล้าสะท้อนภาพของคุณออกมาจริง ๆ
เพราะกลัวคุณจะโกรธ กลัวคุณจะไม่รัก
ดังนั้นวิธีการหากระจกดี ควรเริ่มต้นจากคนใกล้ตัว ที่ไม่หวังประโยชน์จากคุณมาก เพราะผมเชื่อว่าไม่มีใครอยากเป็นกระจกเบี้ยว ดังนั้นถ้าคุณเข้าใจผู้อื่นได้ดี รู้จักคนรอบตัวคุณเป็นอย่างดี คุณอาจจะปรับกระจกที่เคยเบี้ยว ให้กลายเป็นกระจกดีได้
สรุป
จากทั้งหมดที่พูดถึงเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องเข้าใจมนุษย์เพื่อความสำเร็จในการทำธุรกิจนั้น คุณจะพบว่าทั้ง 4 ข้อนี้มีผลกับธุรกิจรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นกับลูกค้า กับพนักงาน กับตัวสินค้า หรือแม้แต่กับตัวคุณเอง
ผมเชื่อว่า If you don’t understand people, you don’t understand business ถ้าคุณไม่เข้าใจมนุษย์คุณก็ไม่เข้าใจการทำธุรกิจ ดังนั้นลองกลับไปทบทวนดูว่า มีอะไรอีกในตัวมนุษย์ที่คุณยังไม่เข้าใจ และพยายามเข้าใจพวกเขาเสียตั้งแต่วันนี้