และวันนี้ขอเสนอประโยคที่ว่า…
“เมื่อคุณได้ทำงานที่รักแล้ว คุณจะไม่ต้องทำมันอีกเลยตลอดชีวิต”
ผมได้ยินประโยคนี้ครั้งแรกเมื่อครั้งผมยังเป็นเด็ก อายุเท่าไหร่นั้นผมไม่มั่นใจ แต่ที่มั่นใจคือครั้งแรกที่ได้ยิน ผมไม่เข้าใจ
ประโยคนี้ถูกพูดโดยคนใกล้ตัว แต่สิ่งที่แปลกคือ แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่ผมกลับจำมันขึ้นใจ ถ้าจะบอกว่านี่คือ “คำคม” คำแรกที่ได้ยินในชีวิตก็คงจะไม่ผิดนัก
อาจจะเป็นเพราะคำถามที่เกิดขึ้นในหัวผมมากมายหลังจากได้ยินประโยคนี้ที่ทำให้ผมจำได้ขึ้นใจก็เป็นได้
“งานที่รักคืออะไร?”
“แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่างานไหนเป็นงานที่เรารัก ?”
“เราเลือกได้ด้วยหรือ?”
“แล้วทำไมจึงไม่ได้ทำงานอีกเลยหลังจากที่พบกับงานที่รัก?”
“ถ้าเจองานที่รักแล้วทำไมถึงไม่ได้ทำ?”
และคำถามที่กระแทกหัวผมมากที่สุดก็คือ “แล้วงานมันน่าเกลียดขนาดนั้นเลยหรือ คนถึงไม่อยากทำงานกัน?”
ในฐานะเด็กนักเรียนที่เรียนหนังสือไม่เก่ง และเกลียดการเรียน สิ่งเดียวที่ผมคิดเสมอระหว่างเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนคือการบอกกับตัวเองว่า “ฉันอยากทำงาน”
ผมเรียนจบประถม 6 ในฐานะนักเรียนที่ขี้เกียจที่สุดในโรงเรียน เคยโดนทำโทษหน้าเสาธง คุกเข่าประจาน เคยเรียนจบมัธยมต้นด้วยเกรดต่ำเป็นอันดับสามของห้อง พยายามหนีไปเรียนบัญชี ปวช. เพื่อให้เรียนจบไวเพราะหวังว่าจะได้ทำงานให้ได้เร็วที่สุด แต่สุดท้ายการเรียนปวช.ก็ยังไม่เร็วพอ ผมพยายามไปสอบเทียบ ม.6 เพื่อทำให้ 3 ปีสุดท้ายของการเรียนลดลงเหลือ 2ปี
แต่คำพูดนี้ก็ยังเป็นคำพูดที่ฝังอยู่ในหัวผมตลอด
“ทำไมคนได้ทำงานแล้วจึงไม่อยากทำงาน?”
ขณะที่พยายามทำให้ตัวเองไม่ต้องทนอยู่ในโรงเรียน เรียนจบให้ไวที่สุด ไม่ว่าจะด้วยการไปเรียนบัญชีหรือสอบเทียบก็ตาม ถามว่าถ้าจบมาแล้วต้องทำงานเป็นนักบัญชีจริง ๆ ผมจะอยากทำหรือไม่
ผมตอบได้ตั้งแต่วันนั้นเลยว่า “ไม่”
แม้ว่าคนเอเชียจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มคนที่หัวไว คำนวนเร็ว เก่งคณิตในแบบที่ฝรั่งต้อง งง แต่สำหรับผมเองผมไม่ชอบตัวเลข ผมคำนวนไม่เก่ง ผมเคยไปลงเรียนบัญชีอีกครั้งที่มหาวิทยาลัยในอเมริกาเพราะคิดว่าจะช่วยดึงเกรดได้ จากความเป็นมนุษย์เอเชียหัวไว เก่งคณิต แต่สุดท้ายผลลัพธ์ของวิชาบัญชีที่อเมริกาคือ เกรด C น่าเสียใจที่ผมแพ้คนอเมริกันอีกหลายคน และทำภาพลักษณ์ของการเป็นเอเชียคำนวนไวเสียไป
ผมรู้ตัวว่าผมชอบการวาดรูป ผมชอบออกแบบ ผมสะสมโปสเตอร์ภาพยนตร์ขนาดเล็กหรือที่ในยุคนั้นเรียกว่าแฮนด์บิล (Hand Bill) ผมชอบทำเข็มกลัดที่วาดด้วยมือของผมเองกับสีน้ำหมึกที่ได้เรียนรู้จากครอบครัวคนสิงคโปร์ที่ผมเคยไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยหลายเดือน
และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่ผมทำให้เลือกที่จะเริ่มเรียนต่อในวิชาที่ผมชอบ ผมลงทุนบินไปเรียนถึงต่างประเทศ ข้ามน้ำ ข้ามทะเลไปอเมริกา ไปอีกฝั่งหนึ่งของโลก เพื่อไปตามหาการเรียนการสอนที่มีอาจารย์พูดถึงเนื้อหาที่ผมสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพเหมือน การลงสี การถ่ายภาพ การล้างฟิล์มในห้องมืด การออกแบบกราฟฟิก การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในยุคแรกอย่าง Photoshop version 2.5 ที่หนึ่งภาพต้องใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูลมากถึง 30 MB
ใช่! คุณอ่านไม่ผิด 30 MB แต่ทำไมผมถึงบอกว่า “มากถึง” ขนาดนั้น .. 30 MB คงไม่ใช่อะไรที่มากมาย ถ้าคุณใช้อุปกรณ์ทันสมัยที่มีอยู่ในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น Flash drive, External Harddisk หรือแม้แต่การอัพโหลดขึ้น Cloud ผ่านอินเตอร์เน็ทความเร็ว 4 Gigabits ที่สามารถเก็บข้อมูลทุกอย่างได้ภายในเวลาไม่เกิน 1 นาที
แต่สำหรับผมในยุคนั้นคือการใช้อุปกรณ์บันทึกข้อมูลที่หาง่ายที่สุดและราคาย่อมเยาเหมาะกับนักเรียนอเมริกาในยุคนั้น นั่นคือแผ่นฟล็อปปี้ดิสก์ขนาด 1.44 MB ด้วยความจุน้อยนิดเพียงเท่านี้ หมายถึงผมต้องใช้แผ่นฟล็อปปี้ดิสก์มากกว่า 30 แผ่น และใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงในการบันทึกข้อมูล
แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผมลำบากใจอะไร ไม่ได้ทำให้รู้สึกเหนื่อยที่จะต้องเสียเวลานาน ๆ ในการบันทึกข้อมูล ไม่ได้เบื่อที่จะต้องแบกแผ่นดิสก์จำนวนมากเดินทางไปมา
เพราะผมมีความสุขกับสิ่งที่ผมทำ
งานชิ้นแรกในชีวิตที่ผมได้ทำ และได้เงิน นั่นคืองานออกแบบโลโก้ให้กับร้านของเพื่อนชาวอเมริกันคนหนึ่ง เธอจ้างผมด้วยเงิน 500 เหรียญ และผลงานที่ผมมอบให้เธอคือกระดาษหนึ่งแผ่นที่วาดรูปโลโก้ลงสีสวย ที่ใช้เวลาคิดและออกแบบนาน 3 วัน
3 วันที่ผมไม่เคยเบื่อ
และในวันนั้นเองประโยคนี้ก็ย้อนกลับมาหาผมอีกครั้ง..
“เมื่อคุณได้ทำงานที่รักแล้ว คุณจะไม่ต้องทำมันอีกเลยตลอดชีวิต”
เมื่อผมค้นพบว่างานออกแบบเป็นงานที่ผมรัก ผมชอบ ผมไม่เคยคิดอีกเลยว่าสิ่งที่ผมทำนั้น เป็นงาน เพราะมันไม่น่าเบื่อ แต่ตรงกันข้ามมันทำให้ผมรู้สึกสนุกอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าบางครั้งจะเป็นงานที่ต้องใช้ความพยายามมากมาย ครั้งหนึ่งขณะที่ยังอยู่อเมริกา ผมได้รับงานออกแบบหน้าปกอัลบั้มให้กับศิลปินในค่ายเบเกอรี่มิวสิค ซึ่งต้องใช้เวลาส่งไฟล์ผ่านอินเตอร์เน็ทข้ามทวีปนาน 2 วันเต็ม แต่ผมก็รอได้ ผมรอด้วยความใจเย็น และผมก็มีความสุขกับมัน
เมื่อคุณได้พบงานที่คุณชอบ คุณรัก คุณอยากทำมันทุกวัน คุณสามารถทำได้ข้ามคืนโดยไม่หลับไม่นอน คุณจะสามารถทำมันได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เพราะมันไม่ใช่งานอีกแล้ว แต่งานและการพักผ่อนมันได้กลายเป็นส่วนเดียวกัน
คุณอาจจะได้ยินคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน เป็นญาติ หรือคนในครอบครัวบ่นอยู่ตลอดเวลาว่า วันนี้ทำงานเหนื่อยจังเลย วันนี้เบื่อจังเลย วันจันทร์อีกแล้ว ต้องไปทำงานอีกแล้วหรอ หรือ ดีใจจังที่ถึงวันศุกร์เสียที
นั่นไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะหลายคนไม่รู้ว่าเขายังไม่ได้ค้นพบงานที่เขารัก
ผมอยากให้ทุกคนที่ได้อ่านลองมองย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วถามตัวเองว่า งานที่ฉันกำลังทำอยู่นี้ ฉันมีความสุขกับมันหรือไม่ ฉันชอบที่จะทำมันไหม ฉันรักงานนี้ไหม เพื่อให้คุณไม่ต้องเกลียดวันจันทร์ และขอบคุณพระเจ้าที่วันศุกร์มาถึงเสียที
ประมาณ 25ปี หลังเรียนจบประถม ผมกลับไปยืนที่หน้าเสาธง โรงเรียนประถมของผมอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ใช่การโดนทำโทษในฐานะเด็กขี้เกียจที่สุดของโรงเรียน แต่ในฐานะผู้มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนในโรงเรียน
ผมเชื่อในการค้นหา “จุดแกร่ง” ของตัวเอง เพราะเมื่อคุณได้รู้ว่าคุณชอบอะไร รักอะไร อยากทำอะไร “เมื่อคุณได้ทำงานที่รักแล้ว คุณจะไม่ต้องทำมันอีกเลยตลอดชีวิต”