Mindshift #4/52 “ช่างแม่ง”

Mindshift #4/52 “ช่างแม่ง”

“ช่างแม่ง”

นี่น่าจะเป็นหนึ่งใน quote ที่สั้นที่สุดที่ตราตรึงอยู่ในใจผม

เอาเข้าจริง ๆ คำ ๆ นี้ผมเป็นคนพูดเอง ในวันที่มีคนเดินเข้ามาปรึกษาผมถึงปัญหาชีวิตต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาส่วนตัว ปัญหาที่บ้าน ปัญหาเพื่อนรอบตัว เพื่อนร่วมงาน หรือปัญหาแฟน และปัญหาการเงิน

ผมเองมักจะแยกปัญหาออกเป็นสองรูปแบบ

หนึ่ง ปัญหาที่แก้ได้ และ สอง ปัญหาที่แก้ไขอะไรไม่ได้

โดยไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติม ผมเชื่อว่าผู้อ่านหลายท่านน่าจะเดาได้ว่า ผมจะแนะนำพวกคุณอย่างไร ผมต้องบอกให้คุณมุ่งไปแก้ปัญหาที่แก้ได้ ส่วนปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็จงปล่อยมันไป

ถูกต้องเลยครับ ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน

แต่เรื่องน่าตลก คือ มนุษย์กลับชอบทำตรงกันข้าม พฤติกรรมของมนุษย์หลายคน ซึ่งอาจจะรวมถึงตัวคุณเองด้วย นั่นคือ เราไม่พยายามแก้ไขปัญหาที่แก้ได้ เราทอดทิ้งปัญหาที่เราควรแก้ เราหนีปัญหาเหล่านั้น ขณะเดียวกัน เรากลับพยายามเข้าไปปวดหัวและหมกมุ่นกับปัญหาที่แก้ไม่ได้

เพราะปัญหาที่แก้ได้มักจะเป็นปัญหาของตัวเอง ส่วนปัญหาที่แก้ไม่ได้มักจะเป็นปัญหาของคนอื่น

และเราชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นมากกว่าการเผชิญหน้าแก้ไขปัญหาของตัวเอง

หลายคนเครียดกับปัญหาของเพื่อน แฟนเพื่อน เพื่อนทะเลาะกัน ญาติติดพนัน ดึงสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเข้ามารบกวนจิตใจ กังวลแทนว่าพวกเขาจะสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร และฉันจะสามารถเข้าไปช่วยอะไรได้บ้าง

ซึ่งถ้าคุณลองนึกทบทวนแล้วดึงตัวเองออกมา คุณจะพบความจริงสองข้อ

ข้อแรก คุณไม่สามารถช่วยอะไรได้

เพื่อนทะเลาะกัน คุณอาจจะอยากยื่นมือเข้าไปช่วย ขอเป็นคนไกล่เกลี่ย ความจริงมันเป็นเรื่องดีที่คุณจะเสนอตัวเข้าไปเป็นคนกลาง แต่หลายครั้งการเข้าไปแทรกอาจจะไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น และบางครั้งอาจจะแย่ลงด้วยซ้ำ

ข้อสอง พวกเขาแข็งแรงกว่าที่คุณคิด

คนทะเลาะกัน คนมีปัญหาเรื่องต่าง ๆ บางครั้งพวกเขาสามารถแก้ไขมันเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีคุณ คุณเองอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นฮีโร่อะไร เพราะพวกเขาแข็งแรงกว่าที่คุณคิด ไม่แน่ บางครั้งที่คุณคิดว่าคุณต้องเข้าไปช่วย อาจจะเป็นเพราะคุณกำลังดูถูกความสามารถของพวกเขาอยู่ หรือคุณหลงลืมคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าทั้ง ๆ ที่อาจจะไม่จริง ก็เป็นได้

บางเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเราก็ช่างแม่ง

หรือบางเรื่องอาจจะเกี่ยวกับเรา แต่เราทำอะไรไม่ได้ก็ต้องบอกว่า “ช่างแม่ง” เช่นกัน

ดังเรื่องเล่าที่หลายคนชอบพูดต่อ ๆ กันมาถึงเรื่องของกษัตริย์โซโลมอน ที่สั่งให้ช่างทำแหวนไปทำแหวนมาวงหนึ่ง แหวนที่เมื่อพระองค์เห็นแล้วอารมณ์จะเปลี่ยนไป ถ้าวันนั้นพระองค์รู้สึกดี พระองค์ก็จะเปลี่ยนเป็นอารมณ์หมองหม่นเมื่อเห็นแหวน แต่ถ้าวันใดพระองค์อารมณ์ไม่ดี เมื่อเห็นแหวนแล้วจะทำให้พระองค์มีความสุขขึ้นมาทันทีได้ด้วยเช่นกัน

ช่างทำแหวนผู้นั้นนำโจทย์ที่ได้รับจากกษัตริย์ไปคิดต่ออีกหลายวันหลายคืนจนสุดท้ายก็ตีแหวนออกมาวงหนึ่ง

และเมื่อกษัตริย์โซโลมอนได้เห็นแหวนวงนั้น พระองค์ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง และยกย่องช่างทำแหวนว่าเป็นช่างทำแหวนที่ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ

เพราะบนแหวนวงนั้นเขียนไว้ว่า..

“And this too shall pass”

หรือแปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่า “แล้วสิ่งนี้จะผ่านพ้นไป”

ไม่ว่าเรื่องที่คุณกำลังเผชิญอยู่เป็นเรื่องสุข หรือทุกข์ ขอให้นึกไว้ในใจเสมอว่า “แล้วสิ่งนี้จะผ่านพ้นไป”

และเรื่องไหนที่คุณทำอะไรกับมันไม่ได้ แก้ไขมันไม่ได้ ให้บอกกับตัวเองว่า

“ช่างแม่งบ้างก็ได้”

Up Next:

Mindshift #3/52 “มีสองวิธีที่จะหาเงินล้าน 1 เก็บเงินคนละบาทล้านคน และ 2 เก็บเงิน 1 คน 1 ล้านบาท”

Mindshift #3/52 “มีสองวิธีที่จะหาเงินล้าน 1 เก็บเงินคนละบาทล้านคน และ 2 เก็บเงิน 1 คน 1 ล้านบาท”